Embedded Pc ราคา
หากคุณชอบบทความแนวนี้ สามารถอัพเดตบทความใหม่ๆโดยคลิก Like เฟสบุ๊คแฟนเพจ วิศวกรรีพอร์ต หรือคลิก ที่นี่ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนอ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับ ^_^
เนื่องจากเคสนี้กำหนดเงื่อนไขว่า ถ้า A2 ได้ค่าอื่นนอกเหนือจาก 1-4 ให้แสดงเป็น Others ก็เลยปรับเงื่อนไขสุดท้ายเป็น TRUE, "Others" อันนี้เป็นเทคนิคลับเลยนะ ห้ามบอกใครล่ะ ^^ IFS มีข้อเสียที่สำคัญคือ ใช้ได้เฉพาะ Office 365 หรือ Excel 2019 เท่านั้น แปลว่า ถ้าใครใช้ Excel 2007, 2010, 2013, 2016 หมดสิทธิ์! "อืมม์.. สูตรมันดูสั้นลงกว่า IF ก็จริง แต่มันก็ยังดูยาวอยู่ดี มีวิธีอื่นไหมครับ? " "มีสิ นั่นคือวิธีที่ 2 CHOOSE" 2. CHOOSE เคสนี้ถ้าใช้ CHOOSE เขียนสูตรได้เป็น =CHOOSE( A2, "Thailand", "Japan", "China", "Korea") สูตรดูสั้นดีใช่ไหมครับ ^__^ มาทำความรู้จักฟังก์ชัน CHOOSE กันนิดนึงครับ โครงสร้างของ CHOOSE คือ CHOOSE( index_num, value1, [value2], …) index_num คือตัวเลข เช่น เคสนี้คือ A2 (มีค่าได้เป็น 1, 2, 3, 4) value1, [value2] คือ ค่าที่ต้องการแสดงผล เช่น เคสนี้คือ Thailand, Japan, China, Korea index_num รองรับค่าได้ตั้งแต่ 1 ถึง 254 หรือรองรับค่าได้ทั้งหมด 254 แบบ แต่อย่าใช้ถึงขั้นนั้นเลย โหดเกิน ^^ "โอ! สูตรสั้นลงตั้งเยอะ ดีขึ้นเยอะเลย" โจ้ร้อง "ดูเผินๆเหมือนจะดีขึ้น แต่สูตรนี้อาจมีปัญหานะ" ผมเตือน "ยังไงหรือครับพี่" index_num (เคสนี้คือ A2) ต้องมีค่าสอดคล้องกับ value1, value2, value3 เคสนี้เตรียม value ไว้แค่ 4 ตัวคือ Thailand, Japan, China, Korea ถ้า index_num เป็น 5 หรือมากกว่า 5 จะได้ผลลัพธ์เป็น #VALUE!
Excel กวดวิชาในสุทธิ / 300 ตัวอย่าง / IFERROR ใน Excel ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึง ฟังก์ชัน IFERROR ใน สันทัด. 1. ตัวอย่างเช่น Excel จะแสดง # DIV / 0! ข้อผิดพลาดเมื่อสูตรพยายามที่จะแบ่งตัวเลขเป็น 0 2. ใช้ฟังก์ชัน IFERROR หากเซลล์มีข้อผิดพลาดสตริงว่าง ("") จะปรากฏขึ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
"อืมม์ ใช้ SWITCH ได้ แต่สูตรก็ยังดูยาว มีวิธีอื่นที่สูตรสั้นๆไหมครับ? " "มีสิ VLOOKUP ไงล่ะ" 4. VLOOKUP ก่อนใช้ VLOOKUP เคสนี้ต้องสร้างตารางช่วยเพื่ออ้างอิงผลลัพธ์ที่ต้องการก่อน เช่น แล้วเขียนสูตรเป็น =VLOOKUP(A2, $E$2:$F$5, 2, 0) "บ๊ะ!
RAND (ฟังก์ชัน RAND) ฟังก์ชันนี้ใช้สำหรับการหาค่าของตัวเลขสุ่ม โดยการใช้งานของฟังก์ชันนี้จะสุ่มตัวเลขขึ้นมาโดย อัตโนมัติทำให้เราจะได้ค่าตัวเลขที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่ามันจะสุ่มอะไรให้ รูปแบบการใช้งานเป็นดังนี้ rand([ค่าต่ำสุดที่ต้องการให้สุ่ม, ค่าสูงสุดที่ต้องการให้สุ่ม]) ตัวอย่าง: ข้อมูลที่ A1:B19 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ A, B, C แต่ละสมาชิกกลุ่มมีมูลค่ากำกับตามภาพด้านล่าง ต้องการสุ่มโดย 1. สุ่ม A มา 1 ค่า 2. สุ่ม B มา 2 ค่า 3. สุ่ม C มา 3 ค่า แล้วนำค่าที่ได้จากการสุ่มมารวมกัน เราสามารถใช้สูตรในการสุ่มได้ดังนี้ 1. ที่ C2 คีย์สูตร =RAND() Enter > Copy ลงด้านล่าง 2. ที่ E2:E4 คีย์ A, B และ C ตามลำดับ 3. ที่ F2:F4 กรอกจำนวนที่ต้องการสุ่มแต่ละค่า 4. ที่ F5 คีย์สูตรเพื่อรวมจำนวนรายการที่ต้องสุ่ม =SUM(F2:F4) Enter 5. ที่ G2 คีย์สูตรเพื่อใช้หาบรรทัดที่เริ่มของแต่ละ Group =SUM(F$2:F2)-F2+1 Enter > Copy ไปถึง G4 6. ที่ I2 คีย์สูตรเพื่อ List รายชื่อ Group =IF(ROWS(I$2:I2)>$F$5, "", LOOKUP(ROWS(I$2:I2), $G$2:$G$4, $E$2:$E$4)) Enter > Copy ลงด้านล่าง 7. ที่ J2 คีย์สูตรเพื่อหา Value ที่ได้จากการสุ่ม =IF(I2="", "", INDEX($B$2:$B$16, MATCH(SMALL(IF($A$2:$A$16=I2, $C$2:$C$16), COUNTIF(I$2:I2, I2)), IF($A$2:$A$16=I2, $C$2:$C$16), 0))) Ctrl+Shift+Enter > Copy ลงด้านล่าง 8.
(หากไม่ระบุ จะเป็นค่าตั้งต้น) -1 คือ การค้นหาแบบพอดีเป๊ะ (Exact match) โดยหากไม่พบจะคืนค่าเป็นลำดับที่ค่าน้อยกว่าลำดับถัดไป 1 คือ การค้นหาแบบพอดีเป๊ะ (Exact match) โดยหากไม่พบจะคืนค่าเป็นลำดับที่ค่ามากกว่าลำดับถัดไป 2 คือ การค้นหาแบบระบุสัญลักษณ์ได้ (Wildcard match) โดยสามารถใช้เครื่องหมาย *,?
ให้ดูต่างหน้าทันที จะตรวจสอบและแก้ Error อย่างไร? เวลา เราเจอ Error ใน Excel เราคงต้องตรวจสอบก่อนว่า การแสดงผลค่า Error เป็นอะไร ตามที่เขียนไปแล้วด้านบน แล้วค่อยจัดการทีละปัญหา แต่ Excel ก็มีตัวช่วย Error Checking ถ้าหากว่ามีค่าผิดพลาดเกิดขึ้น เราสามารถหาตัวช่วยง่าย ๆ ด้วยการไปที่ แท็บ Formula แล้วดู Error Checking ไอคอนจะเป็นเครื่องหมายอัศเจรีย์ (! )
#NUM! ใช้ตัวเลขไม่ถูกต้อง อย่างเช่น การพิมพ์เครื่องหมายดอลลาร์ $ ซึ่งมีความหมายใน excel (โปรดอ่านเรื่องการอ้างอิงตำแหน่งเซลล์) หรือ การใช้เครื่องหมายจุลภาค (comma, ) ซึ่งจะเป็นเครื่องหมายกำหนดไวยากรณ์ของสูตรในฟังก์ชันต่าง ๆ หรือ อาจจะเกิดจากค่าที่ได้ มีจำนวนหลักเกินขีดจำกัดของ Excel #REF! การอ้างอิงผิดพลาด เช่น เราเคยอ้างอิงคอลัมน์ C ไว้ แล้วเราเผลอลบคอลัมน์ C นั้นทิ้ง แบบนี้เป็นต้น หรือ เราอาจจะใช้การอ้างอิงที่ผิดพลาดมาจากการใช้ indirect หรืออื่น ๆ #NULL! ข้อผิดพลาดนี้จะแสดงขึ้นเมื่อใช้ตัวดำเนินการบางอย่างไม่ถูกต้องในสูตร อย่างเช่น เราจะหาผลรวมระหว่า A1 ถึง A20 กับ B1 ถึง B20 แต่ท่านเขียนสูตรแบบนี้ =SUM(A1:A20 B1:B20) จะได้ผลลัพธ์เป็น #NULL! เพราะการใช้ช่องว่างคั่นกลางระหว่างช่วง A1:A20 กับ B1:B20 นั้นคือการกำหนดตัวดำเนินการ intersect แต่ ช่วงในคอลัมน์ A ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ คอลัมน์ B แต่อย่างใด ความจริงสูตรนี้ ถ้าต้องการผลรวม ของทั้งสองช่วง ต้องใช้ จุลภาพ คั่นระหว่างช่วง A1:A20 กับ B1:B20 =SUM(A1:A20, B1:B20) #VALUE! ใช้ข้อมูลผิดประเภท เช่น ถ้าเป็น Text แต่เอามาใช้เป็นตัวคำนวณทางคณิตศาสตร์ บวกลบคูณหารกัน แบบนี้ไม่ได้ จะขึ้นเป็น #VALUE!
สมมติ เราเอา "ขีดกลาง" + 423 (เลี่ยงใช้ – ก็แล้วกัน เพราะมันเหมือนเครื่องหมายลบ) ก็คือ ขีดกลาง + 423 ขีดกลางคือ Text หรือ ข้อความ ไม่สามารถเอาไปบวก ลบ คูณ หาร ได้ จะได้ผลลัพธ์ #VALUE! ออกมา แต่ในการคำนวณเป็นจำนวนมาก แล้วเราจำเป็นต้องเอาผลลัพธ์ไปใช้งานต่อ เช่น บวก ลบ คูณ หาร กับตัวเลขอื่นนี่แหละ ถ้าเอาผลลัพธ์ #VALUE! ไปใช้ ก็จะได้ผลลัพธ์ #VALUE! ทันที! แต่มันก็มีทางแก้นั่นแหละ นั่นก็คือ ฟังก์ชัน IFERROR เอาตัวนี้ ไปครอบสูตรที่ต้องการคำนวณ แล้วกำหนดว่า ถ้าผลลัพธ์เป็นค่า error จะให้แสดงผลเป็นอะไร เช่น ถ้า ผิดพลาด ให้แสดงเป็น 0 เพื่อเอาไปคำนวณต่อได้ ก็จะได้สูตร =IFERROR(ขีดกลาง+ 423, 0) ค่าของ ขีดกลาง + 423 ก็ยังเป็น #VALUE! แต่จะแสดงผลเป็น 0 เพื่อเอาไปใช้งานหรือคำนวณต่อได้ เป็นการช่วยให้ Error ใน Excel ที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อการคำนวณที่ตามมา ลองเอาไปปรับใช้